ข่าวคราวเรื่องเด็กยกพวกตีกันเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยและได้ยินมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต เพียงแต่รูปแบบของการทะเลาะกันนับวันจะยิ่งรุนแรงทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
| |||
ตัวเลขที่เด็กทะเลาะกัน ยกพวกตีกัน โดยเรื่องถึงสถานีตำรวจเมื่อปีที่แล้วมีสูงถึงกว่า 2,000 ครั้ง สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทะเลาะกัน มักเป็นเรื่องของสถาบันที่เป็นคู่อริ เรื่องส่วนตัวจัดว่าน้อยมาก แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเหล่านี้ทะเลาะกันไม่รู้จบสิ้น เป็นเรื่องที่ถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ต้องเอาจริงเอาจังกันทุกฝ่าย มิใช่เกิดปัญหาครั้งหนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นมาทำท่าเอาจริงเอาจัง แล้วก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ สุดท้ายคนที่รับเคราะห์และมักเป็นผู้สูญเสียบ่อยๆ ก็คือ คนบริสุทธิ์ที่ต้องโดนลูกหลงของสถานการณ์ ลองค้นหาเหตุผลที่เด็กนักเรียนเหล่านี้มักทะเลาะกันจนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรงและสูญเสียมีอะไรกันบ้าง แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ในระดับของตัวเองและครอบครัว 1.สภาพร่างกายและจิตใจของกลุ่มวัยรุ่นมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านฮอร์โมน ทางกายวิภาคของสมอง ในช่วงวัยรุ่น สมองส่วนหน้าสุด หรือ prefrontal lobe ที่เกี่ยวข้องกับทางด้านวิจารณญาณ และการตัดสินใจต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยช่วงเวลาที่ยาวนานเป็น 10 ปี ในการพัฒนาอย่างเต็มที่ และในระยะนี้ ก็เป็นช่วงเดียวกันกับที่สมองส่วนอยาก (Limbic system) มีการเปลี่ยนแปลงจากการได้รับฮอร์โมนเพศ ทำให้มีความต้องการทางเพศ การแสวงหาความตื่นเต้น ตลอดจนความรุนแรง จึงเป็นลักษณะที่โดดเด่นของวัยรุ่น และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเด็กวัยรุ่นจึงมักหุนหันพลันแล่น และขาดความยับยั้งชั่งใจ เพราะสมองส่วนหน้าจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาที่ดี ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ ประสบการณ์ จนกว่าจะบรรลุวุฒิภาวะ ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้อีกยาวไกล 2.เป็นเรื่องต่อเนื่องจากข้อแรก เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ มักจะมีปัญหาเรื่องครอบครัวแตกแยก หรือไม่ได้ใกล้ชิดกับครอบครัว การโหยหาความรัก การขาดการอบรมสั่งสอน หรือเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดและถูกต้อง รวมไปถึงการเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น เพราะตัวเองขาด จึงต้องการโหยหา และทำให้เลือกทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสม 3.พฤติกรรมเลียนแบบ ต้องยอมรับว่ายุคสมัยที่เปลี่ยนไป โลกแห่งข้อมูลข่าวสารที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้สภาพปัญหานี้ถูกตีแผ่มากขึ้น แต่ก็เหมือนดาบสองคมด้วยเช่นกัน เพราะก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่แห่กันทำตามข่าวที่ได้พบเห็น เพราะจะได้เป็นข่าวบ้าง เคยมีเด็กบางคนได้ลงสื่อ กลับรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งก็มีไม่น้อย ยิ่งพฤติกรรมความรุนแรงของผู้ใหญ่ในสังคมในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปัญหาทางการเมืองยิ่งเป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดความรุนแรง ทั้งเรื่องการใช้อาวุธอย่างโจ่งครึ่มเกิดขึ้นแทบรายวัน เดี๋ยวเกิดระเบิด เดี๋ยวมีการยิงกัน หรือแม้แต่ข่าวคราวเรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เป็นความรุนแรงรายวันที่เกิดขึ้นจนอารมณ์ความรู้สึกของเด็กเริ่มชาชินกับความรุนแรง 4.ขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง ยิ่งถ้ามาจากครอบครัวที่แตกแยก ขาดความรักความใส่ใจ ก็มักจะไปเรียกร้องเอากับผู้อื่น จากเพื่อน จากสังคม เพื่อต้องการการยอมรับจากผู้อื่น แต่การกระทำกลับเป็นการเรียกร้องในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง และกลายเป็นปัญหาสังคมในที่สุด ในระดับโรงเรียน 5.ศักดิ์ศรีของสถาบันที่ถูกปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น คนที่เรียนโรงเรียนอาชีวะที่เคยมีเรื่องกับสถาบันอื่นมาก่อน เมื่อเข้าไปเรียนแล้วมักจะได้รับการปลูกฝัง ในท่วงทำนองให้ทำเพื่อสถาบัน 6.ค่านิยมที่เมื่อได้ทำร้ายโรงเรียนคู่อริ จะได้รับการยอมรับจากเพื่อน ได้รับคำชมว่าเจ๋ง จากสถาบันของตัวเอง 7.คุณครูและผู้บริหารโรงเรียนขาดการเอาจริงเอาจังกับปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งที่ปัญหานี้เกิดขึ้นมายาวนาน เรื่องเด็กแสบในโรงเรียนเป็นเรื่องที่เด็กนักเรียนด้วยกัน หรือโรงเรียนย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้จัดการอย่างจริงจัง ด้วยหลากหลายเหตุผล แต่เหตุผลที่น่าเศร้าที่สุด ก็คือ กลัวลูกศิษย์ทำร้าย 8.โครงสร้างการศึกษาในบ้านเรามีปัญหา แต่ไหนแต่ไรมา เรามักมองว่าเด็กอาชีวะเป็นเด็กที่ไม่สามารถเรียนสายสามัญได้ เด็กเรียนไม่ดี เด็กเกเร ทั้งที่จริงเด็กเหล่านี้จำนวนมากเป็นเด็กเรียนดี มีความคิดสร้างสรรค์ ตั้งใจและรู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็มุ่งมั่นเรียนในสายอาชีพ แต่เราไปสร้างค่านิยมผิดๆ มาโดยตลอด ตรงกันข้าม ถ้าเรายกระดับการศึกษาอาชีวะให้มีคุณค่า พัฒนาอย่างจริงจังในทุกด้าน ก็จะทำให้เด็กรู้สึกมีคุณในตัวเอง เป็นเด็กที่มีศักยภาพ และมีตัวตนในสังคม มีพื้นที่และโอกาสให้เด็กเหล่านี้เพื่อพัฒนาตัวเองได้อย่างทัดเทียมผู้อื่น เราจะได้เด็กนักเรียนที่มีความสามารถมากมายที่พร้อมจะพัฒนาประเทศชาติ แต่...วิธีการแก้ปัญหาของผู้ใหญ่ในบ้านเรา กำลังกลายเป็นปัญหาเองด้วยซ้ำ ที่ผ่านมา เรามักแก้ไขปัญหาแบบไทยๆ ด้วยการเปลี่ยนให้เด็กโรงเรียนคู่อริมาจับมือกัน , เปลี่ยนเครื่องแบบ ,ปิดโรงเรียนชั่วคราว หรือแม้แต่ถึงขั้นเปลี่ยนชื่อ “โรงเรียน(อาชีวะ)” ให้เป็น “วิทยาลัย..” หรือยกระดับ “ประกาศนียบัตร” เป็น “ปริญญา” อะไรเทือกนี้
เปลี่ยนแบบนี้อีกกี่ร้อยครั้ง เราก็ต้องอยู่กันท่ามกลางเด็กวัยรุ่นยกพวกตีกันต่อไป เพียงแต่ต้องระวังตัวให้มากขึ้นละกัน เพราะสักวันอาจโดนลูกหลง...!!!
ที่มา http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000125368
|
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558
8 เหตุผลที่เด็กไทยยังต้องยกพวกตีกันต่อไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น